ปัญหา “ขาดแคลนน้ำ” อาจบั่นทอนอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่เฟื่องฟู
S&P Global Ratings เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุดว่า บริษัทผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ต่าง ๆ อย่าง TSMC อาจเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ ขณะที่เทคโนโลยีในการผลิตชิปมีความก้าวหน้ามากขึ้น
ชิปเซมิคอนดักเตอร์ สำคัญอย่างไร ?
ชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กที่พบได้ในอุปกรณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่สมาร์ตโฟน ไปจนถึงโทรทัศน์ โดย TSMC เป็นผู้ผลิตชิปตามสัญญาจ้างรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยผลิตโปรเซสเซอร์ที่ล้ำสมัยที่สุดให้กับบริษัทต่าง ๆ เช่น แอปเปิ้ลและอินวิเดีย
“ขาดน้ำ” ทำไมเป็นปัญหา ?
อุตสาหกรรมการผลิตชิปนั้นใช้น้ำจำนวนมาก โดยโรงงานต่าง ๆ ใช้น้ำปริมาณมหาศาลในทุก ๆ วันเพื่อหล่อเย็นเครื่องจักร และรักษาแผ่นเวเฟอร์ให้สะอาดจากฝุ่นและคราบสิ่งตกค้างต่าง ๆ
นายฮินส์ หลี่ นักวิเคราะห์เครดิตของ S&P Global Ratings อธิบายว่า "ปริมาณน้ำที่ใช้นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความซับซ้อนของชิป โดยเครื่องผลิตชิปใช้น้ำบริสุทธิ์พิเศษ ซึ่งเป็นน้ำจืดที่ผ่านการแปรรูปให้มีความบริสุทธิ์ในระดับที่สูงมาก เพื่อล้างเวเฟอร์ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต ยิ่งเซมิคอนดักเตอร์มีความก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ขั้นตอนการผลิตก็จะยิ่งใช้น้ำเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น"
สถานการณ์เป็นอย่างไร ?
ข้อมูลจากเอสแอนด์พีเปิดเผยว่า TSMC ใช้ปริมาณน้ำต่อหน่วยเพิ่มขึ้นมากกว่า 35% หลังจากเปลี่ยนไปเริ่มผลิตชิปประมวลผลขนาด 16 นาโนเมตรเมื่อปี 2558
เอสแอนด์พี เชื่อว่าสาเหตุหลักของการใช้น้ำเพิ่มขึ้น มาจากการเปลี่ยนไปผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งต้องใช้กระบวนการผลิตนานขึ้น และเมื่อพิจารณาจากการที่ TSMC เป็นผู้ครองตลาดในด้านการผลิตขั้นสูงนั้น การหยุดชะงักของกระบวนการใดก็ตามที่ใช้น้ำ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีทั่วโลกได้ อย่างไรก็ตาม ให้การที่ TSMC เป็นผู้นำในตลาด ช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความต้องการชิปไว้ได้ และชดเชยยอดขายที่ลดลงด้วยการปรับขึ้นราคา
โดย TSMC เป็นบริษัทที่ ผลิตชิปขั้นสูงสำหรับแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) และการประมวลผลควอนตัม คิดเป็น 90% ของจำนวนชิปเหล่านี้ทั่วโลก หาก ในช่วงที่ปริมาณน้ำมีจำกัดนั้น TSMC อาจจัดลำดับความสำคัญของการผลิตชิปขั้นสูงมากกว่าชิปรุ่นเก่าที่มีอัตรากำไรต่ำกว่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นกลยุทธ์ที่อาจจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท
ต้องจับตาดูกันต่อว่าอุตสาหกรรม จะปรับตัวอย่างไร กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพราะก็จะส่งผลต่อภาพของอุตสาหกรรมซึ่งกำลังเฟื่องฟูจากกระแสปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ขณะที่มีผู้เล่นหลักเพียงไม่กี่บริษัทที่เป็นผู้ครองตลาด