ทั่วโลกจับตา "Super Tuesday" ลุ้น ไบเดน - ทรัมป์ รีแมทช์เลือกตั้ง

ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ในวันนี้ (5 มี.ค) “Super Tuesday” สหรัฐฯ จะมีการจัดการเลือกตั้งขั้นต้น (Primary Election) ใน 15 รัฐ และ 1 ดินแดน (อเมริกันซามัว) ซึ่งการเลือกตั้งขั้นต้นนี้จะเป็นการชี้ชัดว่าใครจะก้าวมาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี

สรุปผลการเลือกตั้งขั้นต้นในช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างก็มีคะแนนนำในพรรคของตนเองเหนือคู่ท้าชิงอย่างขาดลอย โดยทรัมป์มีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง หลังจากชนะการเลือกตั้งขั้นต้นทั้งหมด 6 ครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ นิกกี้ เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ (UN) คือคู่แข่งคนเดียวที่เหลืออยู่ของทรัมป์ หลังจากที่ผู้ชิงตัวแทนพรรครีพับรีกันคนอื่น ๆ ต่างก็ถอนตัว

ขณะที่ทางฝั่งของไบเดนก็คาดว่าจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่น่ากลัวใด ๆ ในการนำเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในมุมของนักวิเคราะห์มองว่า ไบเดน ไม่ได้รับกระแสต่อต้านในพรรคมากนัก 

หากท้ายที่สุด ปธน.ไบเดนและทรัมป์ต่างประสบความสำเร็จในการได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน การสู้ศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.2024 ก็จะถือเป็นการเวียนกลับมาพบกันอีกครั้งในฐานะคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่ไบเดนสามารถเอาชนะทรัมป์มาได้ในปี 2020 และครั้งนี้จะถือเป็นแมทช์ล้างตาของทรัมป์ ซึ่งคาดว่ายังมีฐานเสียงจำนวนมากที่พร้อมจะเทคะแนนให้ทรัมป์เดินหน้ากลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีอีกครั้ง

ล่าสุด ผลการสำรวจของ New York Times/Siena College บ่งชี้ว่า ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียงสูงถึง 48% ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับคะแนนนิยมไปเพียง 43% เท่านั้น

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังระบุอีกว่า ชาวอเมริกันมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและอายุของไบเดน รวมทั้งมีความไม่พอใจต่อนโยบายบริหารประเทศของไบเดน โดยเฉพาะนโยบายสนับสนุนอิสราเอลซึ่งกำลังทำสงครามกับกลุ่มฮามาสและทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก แต่มองอีกมุมหนึ่งไบเดนก็ยังถือว่ามีความได้เปรียบทรัมป์อยู่เนื่องจากยังได้รับเงินทุนสนับสนุนการเลือกตั้งจากกลุ่มทุนต่าง ๆ 

และถ้าหากปธน.ไบเดนสามารถคว้าตำแหน่งตัวแทนเดโมแครตและประสบชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้ ได้ครองบริหารประเทศต่ออีก 4 ปี ก็จะทำให้เขามีอายุ 86 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ซึ่งจะทำให้ไบเดนกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่มีอายุมากที่สุด โดยมีอายุมากกว่าอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนที่มีอายุ 77 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ในปี 2532

ในฝั่งของทรัมป์นั้น ช่วงเวลาไม่กี่เดือนต่อจากนี้ไปก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอีกหลายอย่างในการชิงชัยเพื่อให้ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้ในคดีอาญาจำนวนมากที่รอการพิจารณา โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือคดีเกี่ยวกับความพยายามในการโค่นล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 

ดังนั้นจึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าผลการเลือกตั้งขั้นต้นในวัน Super Tuesday จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะจะเป็นก้าวย่างแรกที่สำคัญในการชี้ชะตาการเมืองสหรัฐฯ และ จะส่งผลต่อทั่วโลกในแง่การดำเนินนโยบายของมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก