11 กรกฎาคม 2564

5 เรื่อง รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์ ก่อนดูนัดชิงยูโร 2020 อังกฤษ VS อิตาลี

HighLight :

“อังกฤษ” จะได้ฉลองแชมป์ยูโรครั้งแรกใน Wembley Stadium หรือ “อิตาลี” จะคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 พร้อมกับสะสมสถิติไร้พ่าย หน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลจะต้องจารึกไว้อย่างไร ? เชียร์ไปด้วยกัน การแข่งขันจะเริ่มขึ้น 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย กลางดึกคืนนี้ (11 ก.ค. 64) ช่อง NBT2HD ถ่ายทอดสด

อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แฟนกีฬาฟุตบอลทั่วโลกก็จะได้รู้พร้อมกันว่า ทีมไหน ? ระหว่าง “อังกฤษ” กับ “อิตาลี” จะได้ชูถ้วยฉลองแชมป์ยูโร 2020 หลังจากนักเตะและกองเชียร์ กรำศึกกันมาอย่างยาวนาน 1 เดือนเต็ม

แม้คุณอาจไม่ใช่แฟนบอล “อังกฤษ” หรือ “อิตาลี” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง 2 ทีม คือ ชาติมหาอำนาจแห่งโลกลูกหนัง กระแสนัดชิงฟุตบอลยูโร 2020 ร้อนแรงถึงขั้นตั๋วขายหมดเกลี้ยงเท่านั้นไม่พอ สื่อ Daily Mail ของอังกฤษ รายงานว่า ตั๋วคู่ 295 ปอนด์ (เกือบ 14,000 บาท) ตลาดมืดเสนอขายกันในราคาพุ่งสูงกว่า 54,000 ปอนด์ หรือราว ๆ 2 ล้านกว่าบาท เลยทีเดียว

ดังนั้น การโคจรมาดวลศึกครั้งนี้ ถือเป็นนัดหยุดโลก !!! เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ “ทันข่าว Today” รวบรวม 5 เรื่องราวมาให้คุณรู้ไว้ ไม่ตกเทรนด์

1. “อังกฤษ” ผ่านเข้านัดชิงชนะเลิศศึกยูโร“ครั้งแรก”

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (UEFA EURO) จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1960 หรือเมื่อ 61 ปีที่แล้วยูโร 2020 คือครั้งที่ 16 (เลื่อนมาจัดปี 2021 เพราะโควิด-19 แพร่ระบาด) อังกฤษผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายมากถึง 10 ครั้ง แต่ผลงานที่ดีที่สุดที่เคยทำได้ คือ รอบรองชนะเลิศในปี 1968 และปี 1996 แต่ยูโร 2020 (ปี 2021) คือ “ครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์ ที่ “อังกฤษ” ผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ

2. “อังกฤษ” ลุ้นแชมป์บอลรายการใหญ่ “ครั้งแรก” ในรอบ 55 ปี

“อังกฤษ” ได้เข้าชิงฟุตบอลรายการใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี นับจากปี 1966ที่ทีมชาติอังกฤษถิ่นกำเนิดลูกหนังได้ผ่านเข้าไปดวลศึกฟุตบอลโลกเป็น “ครั้งแรก” และ “ครั้งเดียว” อีกทั้งยังชนะเยอรมนี(ขณะนั้น คือ เยอรมนีตะวันตก)คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย มาครองได้สำเร็จ

3. Wembley Stadium คือ สนามที่ “อังกฤษ” คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1966

ศึกยูโร 2020 ใช้สนามเจ้าภาพมากถึง 11 เมือง ทั่วทั้งทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแข่งขันเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี ตามแนวคิดของ “มิเชล พลาตินี” อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA)

ซึ่งกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะจัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ที่ Wembley Stadium ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

ปรากฏว่า “อังกฤษ” ได้เข้าชิง ทำให้นักเตะอังกฤษกำลังจะได้ลงสนาม ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนบอลในดินแดนบ้านเกิด ที่สำคัญ Wembley Stadium คือสนามการแข่งขันแห่งประวัติศาสตร์ที่ทีมชาติอังกฤษเคยฉลองแชมป์ฟุตบอลโลก เมื่อ 55 ปีที่แล้ว (Wembley Stadium มีความจุ 90,000 ที่นั่ง แต่มาตรการคุมโควิด-19 กำหนดให้เข้าชมนัดชิงชนะเลิศยูโร 2020 ได้ 75% ของความจุ หรือ 67,500 ที่นั่ง)

4. “อิตาลี” ลุ้นแชมป์ยูโร สมัยที่ 2

ทีมชาติ “อิตาลี” เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย เคยสร้างผลงานผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศยูโร 3 ครั้ง คว้าแชมป์ไปครอง 1 สมัย เมื่อปี 1968 ดังนั้น การเข้าชิงรายการนี้เป็นครั้งที่ 4 แฟนบอลอิตาลี ต้องมาลุ้นกันว่า นักเตะขวัญใจจะสามารถคว้าแชมป์ที่รอคอยมายาวนานถึง 53 ปี มาให้แฟน ๆ ได้ร่วมฉลองชัยชนะหรือไม่

5. “อิตาลี” ลุ้นสถิติไร้พ่าย 34 นัด ติดต่อกัน

ทีมชาติอิตาลี ไม่แพ้ใครมา 33 นัดติดต่อกันจากทุกการแข่งขันรวมกันนับตั้งแต่ปี 2018
(ชนะ 27 ครั้ง เสมอ 6 ครั้ง) เป็นสถิติไร้พ่ายจำนวนมากที่สุดที่พวกเขาเคยทำได้ ทีมชาติอิตาลีขอไม่แพ้ใครอีก 3 นัด ก็จะโค่นสถิติไร้พ่ายมากที่สุดในโลกลงทันที ซึ่งทีมชาติบราซิลและสเปน เคยทำไว้เท่ากันอยู่ที่ 35 นัดติดต่อกัน แต่ถ้า “อิตาลี” แพ้นัดนี้ นอกจากจะพลาดแชมป์ สถิติไร้พ่ายก็จะหยุดไว้ เพียง 33 นัด

ส่วนสถิติการพบกันระหว่าง “อังกฤษ” กับ “อิตาลี” เคยดวลกัน 27 ครั้ง อิตาลี ชนะ 11 ครั้ง แพ้ 8 ครั้ง เสมอ 8 ครั้ง ที่น่าสนใจคือ จากสถิตินี้ที่ว่านี้ ถ้าดูเฉพาะการพบกันในฟุตบอลรายการใหญ่ อิตาลีไม่เคยแพ้อังกฤษเลย ทั้งในศึกยูโร ปี 1980 และ 2012 รวมถึงฟุตบอลโลกปี 1990 และปี 2014

“อังกฤษ” จะได้ฉลองแชมป์ยูโรครั้งแรกใน Wembley Stadium หรือ “อิตาลี” จะคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 พร้อมกับสะสมสถิติไร้พ่าย หน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลจะต้องจารึกไว้อย่างไร ? เชียร์ไปด้วยกัน

ซึ่งการแข่งขันจะเริ่มขึ้น 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของกลางดึกคืนนี้ (อาทิตย์ที่ 11 ก.ค. 64) ช่อง NBT2HD ถ่ายทอดสด

แหล่งที่มา: