04 กรกฎาคม 2565
1,875

Active vs Passive เลือกกองแบบไหนถึงจะโดนและคุ้มค่าเงินกว่ากัน

Active vs Passive เลือกกองแบบไหนถึงจะโดนและคุ้มค่าเงินกว่ากัน สำหรับคนที่กำลังเลือกว่าจะซื้อกอง Active หรือ Passive ดี ย้อนดูสถิติ 10 ปีที่ผ่านมาบอกเราว่าอย่างไร?

โดยทั่วไปกองทุนที่บริหารแบบ Active จะพยายามทำผลตอบแทนให้ชนะตลาด และกองทุนแบบ Passive คือการสร้างผลตอบแทนตามตลาด เพราะกลยุทธ์การลงทุนคือไม่เลือกหุ้นรายตัวแต่พยายามลงทุนตามดัชนี ยกตัวอย่างเช่น S&P500 ในสหรัฐที่รวมไปด้วยบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เรียงตามมูลค่าบริษัท หรือ SET 50 ในไทยที่รวมบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในไทย 

ถ้าคุณลงทุนในกองทุนหุ้น US แบบ Active ในปี 2021 คุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนแบบ Passive เพราะในปี 2021 กองทุนหุ้น US แบบ Active ประมาณ 80% ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่ากองทุนแบบ Passive แย่สุดอันดับสามในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และในระยะยาว ก็ดูเหมือนว่าการลงทุนแบบ Passive จะได้ผลตอบแทนมากกว่า 

อย่างไรก็ตาม กองทุนตราสารหนี้แบบ Active 10 ใน 14 กองทุนทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีในปี 2021 ข้อมูลจาก S&P Report ในระยะยาวไม่ได้ดูดีเลย เพราะ 10 ปีที่ผ่านมามีเพียงแค่ 4 กองที่ทำได้ดีกว่าดัชนี แต่ 15 ปีที่ผ่านมาไม่มีกองไหนชนะดัชนีเลยด้วยซ้ำ 

จากสถิติ 10 ปีที่ผ่านมาจากธันวาคม 2021 มีกองทุน Active เพียง 26% ที่ชนะดัชนีได้ (ข้อมูลจาก morning star) https://www.morningstar.com/lp/Active-Passive-barometer อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ของกองทุน Active มีข้อดีเหนือกว่า Passive อยู่ ยกตัวอย่างเช่น สามารถขายหุ้นบางตัวออกเมื่อราคาและมูลค่ามีความเสี่ยงสูง ต่างจากกอง Passive ที่ต้องถืออิงดัชนี  

นักกลยุทธ์หลายคนมองว่ากองทุน Active น่าสนใจเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง ดูได้ในปี 2020 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 เพราะกองทุนแบบ Active มากกว่า 50% สามารถชนะดัชนี (ข้อมูลจาก morning star) 
https://www.morningstar.com/articles/1061438/most-Active-funds-have-failed-to-capitalize-on-recent-market-volatility

นักลงทุนที่ชอบกองทุนบริหารแบบ Active สามารถเพิ่มการชนะตลาดได้จากการดูค่าธรรมเนียม เพราะส่วนใหญ่ที่ทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาดมาจากค่าธรรมเนียมที่สูง จากสถิติ 10 ปี ที่ผ่านมาถึง 31 ธันวาคม 2021 กองทุนแบบ Active ที่ค่าธรรมเนียมต่ำสามารถชนะตลาดได้สูงกว่าเกือบสองเท่า ( 35% เปรียบเทียบกับ 18%) 

เฉลี่ยค่าบริหารกอง Passive อยู่ที่ 0.12% ในปี 2020 และ Active อยู่ที่ 0.62% (ข้อมูลจาก Morningstar) นั่นหมายความว่ากองทุนต้องทำผลตอบแทนได้มากกว่าถึง 0.5% ถึงจะชนะได้ 

กฏข้อแรกที่จะซื้อกองทุน Active คือดูผลงานของผู้จัดการกองทุน 10 ปี ย้อนหลังที่สามารถเอาชนะดัชนีได้ ถึงจะมีความน่าสนใจว่าใช้ฝีมือมากกว่าโชค คำแนะนำจาก Jeremy Siegel, a finance professor at the University of Pennsylvania’s Wharton School.

ในสถานการณ์ที่หุ้นจีนพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกในช่วงนี้ จากสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลายและทางการจีนมีมาตรการหลายด้านในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทาง Wealth Republic ได้เปรียบเทียบกองทุนหลักหุ้นจีนที่มีผลงานระยะยาว ที่สามารถเอาชนะดัชนีได้แก่กองทุนหุ้นจีน TMBCOF ที่เน้นหุ้นจีนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนนอกตลาดจีน เป็นหุ้น H Shares และ ADR ในสหรัฐ

20220704-b-01.jpg

รวมถึงการเปรียบเทียบกองทุนทั่วโลกที่บริหารยาวนานต่อเนื่องมาเกินกว่า 10 ปี ได้แก่กอง TMBGQG กองทุนหลักบริหาร Wellington พบว่าผลตอบแทนของผู้จัดการกองทุนทำได้ดีกว่าดัชนีในระยะสั้น กลาง และยาว ดังนั้นการคัดเลือกผู้จัดการกองทุนที่มีผลงานที่ดีสม่ำเสมอจึงเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวของนักลงทุน

20220704-b-02.jpg

นักลงทุนที่มองหากองทุนไม่ว่าจะเป็น Active หรือ Passive และต้องการที่ปรึกษาการลงทุนเพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละกองทุน ติดต่อมาได้ที่ Wealth Republic ที่ Line ID: https://lin.ee/88bI6Cw

โทร : 02-266-6697
มือถือ : 097-44-99999
YouTube : ครบเครื่องเรื่องกองทุน
Line ID : @wealthrepublic

บลน. เวลท์ รีพับบลิค จำกัด อาคารธนิยะ พลาซา ชั้น 14 ถนนสีลม แขวงสุริยะวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ

ที่มา : https://www.cnbc.com/2022/03/21/why-index-funds-are-often-a-better-bet-than-active-funds.htmlwww.market.ft.com 30 มิ.ย 65

ติดต่อโฆษณา!